ผมมีเพื่อนที่รู้จักกันมายาวนานตั้งแต่สมัยเรียน และปัจจุบันเพื่อนก็ทำธุรกิจเจริญรุ่งเรือง โดยในระหว่างทางที่ยาวนานผมก็รับรู้ถึงความล้มลุกคลุกคลานของเพื่อนมาตลอด มีช่วงชีวิตที่ทำงานเข้าเนื้อ มีหนิ้สิน แต่ปัจจุบันลืมตาอ้าปากได้ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า สำนักงานบัญชีสั่งให้หัดเก็บเงิน สั่งให้เพิ่มคนหางานเข้าบริษัท ถึงวันนี้ เพื่อนหมดหนี้แล้ว เหตุผลหลักคือ คนทำบัญชี สั่งให้ทำ โน่นนี่นั่น แล้วเพื่อนตัดสินใจเชื่อ เลยทำงานแบบที่แนะนำ แล้วในที่สุดก็แก้ปัญหาหนี้สินได้ ทุกวันนี้เริ่มมีเงินเก็บ ได้เริ่มใช้เงินทำงาน
มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่นานๆได้เจอกันสักครั้ง ล่าสุดเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ชึวิตมีความสุขมาก ต้องขอบคุณสำนักงานบัญชีมากๆที่แนะนำการทำงานและการใช้ชีวิต จากธุรกิจรับเหมาที่แม้จะได้งานใหญ่แต่ก็ไม่เหลือเงิน มีหนี้สินจำนวนมาก บางทีเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ เมื่อใช้บริการทำบัญชีพร้อมได้ปรึกษาเรื่องการวางแผนการเงิน มีคำแนะนำให้เพิ่มงานที่ทำเงิน หยุดทำงานที่ไม่ได้เงิน ทำให้ตัวเลขผลประกอบการเป็นบวก ชะลอความคิดที่จะซื้อรถคันใหม่ อดทนนั่งแท็กซี่อยู่เป็นปี และตอนนี้มีเงินเก็บล้านแรกแล้วจากการทำตามคำแนะนำจากสำนักงานบัญชี ตอนนี้ตอนนี้เริ่มลงทุน เริ่มใช้เงินทำงานแล้ว
สำนักงานบัญชีแห่งนี้ช่วยชีวิตเพื่อนผมไว้สองคน ผมเลยอยากจะเขียนและแนะนำให้เพื่อนๆและคนที่สนใจการทำธุรกิจให้อยู่รอด มีเงินเก็บ ได้รู้จักวิธีคิดของสำนักงานบัญชีแห่งนี้ คนทำบัญชีที่พาธุรกิจของเราไปสู่จุดที่มีกำไรและมีเงินเก็บ ผมยังไม่ใช้คำว่าประสบความสำเร็จในตอนนี้ เพราะชีวิตการทำธุรกิจมันยาวไกลตลอดชีวิต แต่การมีเงินเก็บมันเป็นเป้าหมายหลักของชีวิตคนทำงาน และหากเราเริ่มเก็บเงินได้ เราจะมีความมั่นใจในการทำธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น
พี่วิทยาเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชีที่กล่าวถึง ชีวิตพี่วิทยาไม่โลดโผนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต โดยเฉพาะประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้มีเงินเหลือ มีความรู้หลากหลายจากลูกค้าธุรกิจจำนวนมากที่ตกตะกอนเป็นองค์ความรู้ติดตัว และส่งผ่านความรู้เหล่านั้นมาเป็นคำแนะนำสู่ลูกค้าบัญชีที่พี่วิทยาดูแล
ดช.วิทยา เกิดและเรียนหนังสือถึงชั้นมัธยมที่จังหวัดภูเก็ต ชีวิตสมัยเด็กทางบ้านไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยอดข้าว ทางบ้านส่งให้เรียนหนังสือจริงจัง มีคนรู้จักช่วยเหลือให้มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงขึ้นเรื่อยๆ
สมัยเรียน เป็นเด็กเรียน เป็นเด็กที่ครูเอ็นดู หัวอ่อน ว่าง่าย พอเข้ามหาวิทยาลัยก็มาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาอยู่กับพี่สาวที่มาทำงานกรุงเทพก่อนแล้ว พี่น้องหลายคนก็ตามมาอยู่กรุงเทพเพื่อเรียนหนังสือ ชีวิตมหาวิทยาลัยก็เป็นชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ ใช้ชีวิตกินง่าย กินประหยัด การได้เรียนมหาวิทยาลัยทำให้มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนจำนวนมาก ในปี พศ.2520 หลังจากที่ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายทางการเมือง นักศึกษาในรามคำแหงก็มีการรวมตัวกันเป็นสโมสรนักศึกษาเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ พี่วิทยาได้เข้าร่วมทำกิจกรรมนักศึกษามาอย่างต่อเนื่อง สมัยนั้นรามคำแหงมี 7 คณะ เพื่อนที่ร่วมทำกิจกรรมหลายคนแยกย้ายไปเติบโต แต่ยังได้ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน บางคนก็เติบโตในสายราชการเป็นถึงอธิบดี บางคนก็ทำธุรกิจที่มียอดขายหลักร้อยล้าน
พี่วิทยาเรียนคณะบัญชีด้วยแนวคิดว่าบัญชีน่าจะเป็นเป็นอาชีพที่หางานทำได้ง่าย บริษัทต่างๆก็จำเป็นต้องมีพนักงานในตำแหน่งนี้ แต่ไม่ทันที่จะได้เรียนจบไปสมัครงาน ตอนเรียนปี 3 ก็มีคนชวนให้ไปทำงานโดยเป็นบริษัทรับจ้างทำบัญชีของญาติ ทำให้พี่วิทยามีงานทำตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ทำไปสักพักก็กลายเป็นพนักงานประจำของบริษัทบัญชีโดยที่ยังเรียนอยู่ ผลก็คือ กว่าจะเรียนจบก็ใช้เวลาถึง 7 ปี
การทำงานในสำนักงานบัญชีหลายปีทำให้ได้รู้ได้เห็นว่าธุรกิจต่างๆนั้นมีรายได้และรายจ่ายเป็นอย่างไร และงานที่ทำในสำนักงานก็ทำด้วยตัวเองครบทุกอย่าง เห็นรายได้รายจ่ายของบริษัทตัวเอง นอกจากจะรวมรวมและดูตัวเลขของลูกค้าแล้ว ยังมีงานส่วนที่ต้องติดต่อกับสรรพกร ได้รู้ว่าการคุยกับสรรพกรต้องรู้กฏหมาย เลยได้เรียนรู้เรื่องกฏหมายมาตลอด เจ้านายเคยพูดว่า ถ้าอ่านหนังสือกฏหมายครบ 10 เล่ม ก็เปิดบริษัทเองได้แล้ว การทำงานมาหลายปีทำให้ได้อ่านครบทุกเล่มจริงๆ เลยทำให้อยากมีบริษัทเป็นของตัวเอง และเจ้านายก็สนับสนุนด้วย จึงตัดสินใจออกมาเปิดบริษัทเอง
ในช่วงเวลาที่ตัดสินใจจะเปิดบริษัทตัวเอง มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้ตัดสินใจเร็วขึ้นนั่นคือ ประเทศไทยในเวลานั้นมีการเปลี่ยนวิธีการเก็บภาษีการค้ามาเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม เรื่องนี้คนทำบัญชีจะรู้ดีว่าจะมีงานบัญชีเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ทำให้การออกมาเปิดสำนักงานบัญชีจะคาดหวังการเติบโตได้ บริษัทบัญชีน่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น
มีกติกาข้อหนึ่งของวงการบัญชีคือ ผู้สอบบัญชีจะต้องไม่เป็นผู้ทำบัญชี การจะเป็นผู้สอบบัญชีได้จะต้องผ่านการสอบเท่านั้้น ซึ่งผู้ที่จะสอบผ่านมักจะต้องผ่านการทำงานบริษัทบัญชีระดับใหญ่มาก่อน พี่วิทยาประเมินแล้วว่าไม่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ ทำให้ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้สอบบัญชี เลยมุ่งมั่นหางานทำบัญชีอย่างจริงจัง และผ่านมากว่า 40 ปีในอาชีพ งานบัญชีของพี่วิทยาไม่เคยมีปัญหาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สมัยเป็นลูกน้อง สำนักงานบัญชีของเจ้านายมีลูกค้าประมาณ 200 ราย ส่วนตอนที่ลาออกมา เจ้านายเมตตาให้ลูกค้าติดมือออกมาด้วย 8 ราย ทำให้การเริ่มต้นบริษัทของตัวเองมีช่องทางทำงาน มีรายได้ มีลูกค้า และลูกค้าจาก 8 รายแรกก็มีการบอกต่อ สามารถหาลูกค้าเพิ่มได้อีก เป็น 12 รายในเดือนแรกของบริษัทตัวเอง แต่ด้วยความเป็นคนทำบัญชีที่อยู่กับตัวเลขอย่างตรงไปตรงมา ลูกค้า 12 รายไม่พอที่จะหล่อเลี้ยงบริษัทอยู่แล้ว จะต้องพยายามหาลูกค้าเพิ่มขึ้น เลยได้เอ่ยปากขอจากลูกค้าที่ทำงานให้ว่า ถ้าลูกค้ามั่นใจในการทำงานของสำนักงานบัญชี ขอให้ลูกค้าช่วยแนะนำเพื่อน แนะนำธุรกิจอื่นๆที่รู้จักให้ด้วย และลูกค้าก็มั่นใจแนะนำให้จริงๆ ช่วงปีแรกของการทำงานบริษัทของตัวเองจึงมีลูกค้าถึง 20 ราย ซึ่งพอจะทำให้บริษัทอยู่รอดได้
สำนักงานบัญชีของพี่วิทยาในช่วง 7 เดือนแรกเป็นการทำงานตัวคนเดียว จนเมื่อลูกค้าเพิ่มขึ้นจึงเริ่มขยับขยายหาที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ จ้างลูกน้องเพิ่มขึ้น เป็นการขยายกิจการของตัวเองครั้งแรก รวมถึงเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ทำให้งานบัญชีค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์การทำบัญชีก็สะสมมากขึ้น ความชำนาญในการพูดคุยกับสรรพกรก็เริ่มกลายเป็นจุดเด่น เพราะตลอดเวลาที่ติดต่อกับสรรพกร มี่เรื่องราวไม่กี่อย่างที่จะต้องไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ เมื่อสรรพกรเรียกเจ้าของธุรกิจเข้าไปพบ สำนักงานบัญชีก็จะเข้าไปแทน ไปรับข้อมูลจากสรรพกรว่าจะตรวจอะไร ต้องเตรียมข้อมูลอะไร เมื่อได้คุย ได้แก้ต่าง ได้อธิบายกับสรรพกรแทนลูกค้าบ่อยครั้งเข้าก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ชำนาญ ทำให้กลายเป็นจุดเด่นว่าเป็นสำนักงานบัญชีที่เจรจาภาษีกับสรรพกรได้ดี หลายครั้งการเจรจาก็ช่วยลดยอดการเสียภาษีของกิจการได้
การที่สรรพกรจะเรียกเจ้าของธุรกิจเข้าไปพบมีได้สองสาเหตุ สาเหตุแรกคือเป็นการเรียกแบบสุ่มตรวจ มักจะเกิดกับบริษัทที่เปิดทำกิจการมาแล้วประมาณ 2-3 ปี สาเหตุที่สองคือ เอกสารที่ยื่นมีปัญหาบางอย่าง ส่วนมากปัญหาจะเกิดจากการใช้เอกสารใบกำกับภาษีปลอม ปัญหานี้เกิดจากเจ้าของบริษัทอยากจะหารายจ่ายมาเพิ่มเติมในงบที่ยื่น เพื่อให้ผลต่างยอดขายลบยอดซื้อแล้วเหลือกำไรน้อย จะได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มน้อย เลยไปซื้อใบกำกับภาษีมานั่นเอง ซึ่งเจ้าของธุรกิจจะคิดว่าเป็นแค่บิลรายจ่ายใบเดียว แต่ถ้าโชคร้ายคนที่ออกบิลให้ดันไม่ได้จดทะเบียนบริษัท เอกสารนั้นเลยเป็นของปลอม และส่วนมากบริษัทที่ขายใบกำกับภาษีก็มักจะปลอม การทำแบบนี้เป็นการสร้างปัญหาให้กับธุรกิจตัวเอง ผลก็คือสรรพกรจะต้องเรียกคุยแน่นอน ซึ่งพี่วิทยาจะพบเคสแบบนี้อยู่หลายครั้ง และทุกครั้งที่ไปช่วยแก้ไข เจ้าของบริษัทก็จะไว้ใจให้ทำงานบัญชีต่อเลย ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการแก้ปัญหาให้หมดลงได้
ในสมัยปี พ.ศ. 2540 เป็นปีที่มีวิกฤตเศรษฐกิจในไทย มีการลดค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลทันทีกับบริษัทที่ต้องค้าขายกับต่างประเทศเป็นหลัก บริษัทในประเทศไทยบางส่วนมีธุรกิจที่ดีในช่วงก่อนปี 2540 พอถึงปีที่ลดค่าเงิน เศรษฐกิจเริ่มแย่ในวงกว้าง รายได้ของปี 2541 และ 2542 ก็เริ่มลดลง และหนี้สิ้นก็เพิ่มขึ้น บริษัทที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานบัญชีก็ประสบปัญหาไม่ต่างกับทุกคนในประเทศ แต่พี่วิทยาก็เริ่มแนะนำให้แก้ปัญหาไปทีละอย่าง ตอนปี 2540 เมื่อลดค่าเงิน พี่วิทยาแนะนำให้รีบชำระหนี้ต่างประเทศเสียก่อน เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และในการบริหารหลังปี 2541 2542 เป็นต้นมาก็แนะนำให้พยายามหารายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งสามารถทำได้โดยการเพิ่มสินค้าตัวใหม่มาขาย
ตอนที่เศรษฐกิจเริ่มแย่ สมมุติว่าประเทศเคยมีรายได้ 1 แสนล้าน พอมีวิกฤต ยอดธุรกิจน้อยลง รายได้อาจจะเหลือครึ่งเดียวคือ ห้าหมื่นล้าน แม้ว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบนี้ แต่บริษัทก็ยังอยู่ในตลาดที่มีรายได้ห้าหมื่นล้านอยู่ดี ดังนั้น บริษัทเล็กๆของลูกค้าที่มีเป้าแค่ สามสิบล้านบาท มันก็ยังถือว่าเป็นไปได้ที่จะทำยอดขายสามสิบล้านจากตลาดห้าหมื่นล้าน ดังนั้นแผนการตลาดที่จะเพิ่มยอดขายเป็นสิ่งจำเป็น พี่วิทยาก็จะแนะนำให้พยายามโฟกัสที่งานขาย อย่าโฟกัสที่ปัญหา บริษัทที่เชื่อคำแนะนำแล้วพยายามปรับตัว พยายามชำระหนี้ต่างประเทศ พยายามเพิ่มงานส่วนเซลส์ เพิ่มการทำงานส่วนการขาย ก็จะพออยู่รอดได้ และก็อยู่รอดจริงๆ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ปรับตัว ผลก็คือ ช่วงปีวิกฤตต้มยำกุ้งครั้งนั้นลูกค้าบัญชีของพี่วิทยาก็ปิดกิจการไปประมาณ 20%
มีลูกค้าบัญชีท่านหนึ่งทำธุรกิจขายรถมอเตอร์ไซด์ ปกติรายได้ของร้านขายมอเตอร์ไซด์จะมาจากสองทาง หนึ่งคือรายได้จากการขายรถให้ลูกค้าโดยตรง และสองมาจากการปล่อยไฟแนนซ์เพื่อรับดอกเบี้ย ลูกค้าปรึกษาเรื่องการทำบัญชีและวางแผนการเพิ่มยอดขาย สำนักงานบัญชีของพี่วิทยาเป็นคนที่รู้ตัวเลขละเอียด รู้รายรับ รู้รายจ่ายของลูกค้า พอวิเคราะห์ตัวเลขแล้วก็ได้คำตอบว่า ต้องขายรถมอเตอร์ไซด์ให้ได้เดือนละ 70 คันเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการบริหารทั้งหมด มีรายได้ให้ลูกน้อง มีรายได้ของตัวเองที่พอใช้ ถ้าน้อยกว่า 70 คันแปลว่าขาดทุน ก็เลยให้ลูกค้าตั้งเป้าหมายการขายเป็นตัวเลขที่สูงเอาไว้ เลยไปตั้งเป้ากันที่ 140 คัน แล้วก็หาวิธีสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้า 140 ซึ่งส่วนมาก การตั้งเป้าหมายก็มักจะได้ผลประกอบการที่ไม่ค่อยถึงเป้า แต่การไม่ถึงเป้าก็จะเป็นไปในลักษณะ เกือบได้ เกือบถึง นั่นทำให้ยอดขายวิ่งไปได้ที่ร้อยกว่าคัน ซึ่งมันเกินไปจากตัวเลขขั้นต่ำมากแล้ว ธุรกิจเลยมีการเติบโตนั่นเอง
อีกปัญหาหนึ่งของการเพิ่มยอดขายให้ได้จำนวนมากกับร้านมอเตอร์ไซด์คือเงินทุนหมุนเวียน เพราะการขายมากก็หมายถึงต้องเอาเงินไปซื้อจากโรงงานจำนวนมาก จากเครดิตที่เคยได้ระดับ 70 คัน พอจะต้องขายมากยิ่งขึ้นก็ต้องกลายเป็นขอเครดิตให้มากขึ้น ซึ่งอาจจะต้องเป็นหนี้การค้าไปถึงระดับ 140 คัน การหาเงินมาซื้อรถจากโรงงานระดับนี้ต้องใช้เงินสดเยอะมาก แต่ก็มีวิธีอื่นคือต้องขอให้โรงงานปล่อยเครดิตมากขึ้นแทนการใช้เงินสดไปซื้อ การจะให้โรงงานปล่อยเครดิตระดับนี้ก็ต้องอาศัยความไว้ใจ อาศัยการจ่ายเงินตรงเวลามาตลอดหลายปี สำนักงานบัญชีแนะนำให้ไปเจรจาขอเพิ่มวงเงินเครดิต โดยยอดขายที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นพร้อมกับนิสัยการจ่ายหนี้ตรงเวลาทำให้ได้วงเงินสูงขึ้นตามที่วางเป้าไว้ และสุดท้ายในอีกหลายเดือนถัดมาหลังจากที่ได้เครดิตเพิ่มขึ้นแล้ว ร้านขายมอเตอร์ไซด์ก็สามารถทำยอดได้ระดับ เดือนละ 200 คัน และปีถัดมาก็ปิดยอดทั้งปีไปที่ 3000 คัน
มีลูกค้าบัญชีอีกรายหนึ่งเป็นบริษัทที่นำเข้าสินค้ามาขาย และเจ้าของอยากจะขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น เมื่อปรึกษากับพี่วิทยาแล้วก็เห็นตรงกันว่าจะต้องเพิ่มยอดขาย อยากได้รายได้ระดับ 50 ล้าน ต้องตั้งเป้า 70 ล้าน ซึ่งเป็นแนวทางที่เข้าใจได้ แต่การจะขายของเพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงต้องอาศัยการมองหาสินค้าอื่นๆมาขายเพิ่มเติม เพราะว่า ลูกค้าเป็นบริษัทที่มีจุดเด่นเรื่องการขาย ทีมขายของทำงานเป็นอยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้าสามารถใช้ทีมงานเดิมมาขายสินค้าตัวอื่นเพิ่มเติม ทีมงานแค่เพิ่มสินค้า แล้วขายด้วยความสามารถแบบเดิมที่มี ทั้งหมดก็จะเป็นการเพิ่มยอดขายอย่างที่ต้องการ และเมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นแล้ว สิ่งที่จะต้องทำเพิ่มเติมคือ บริหารเงินเก็บให้งอกเงย การลงทุนกับสินทรัพย์อื่นๆเป็นเรื่องจำเป็น เพราะจะเป็นการใช้เงินทำงาน เป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ อย่างที่ดิน บ้านเช่า หรือคอนโด เพื่อให้เงินทำงานต่อนั่นเอง และแม้แต่การขายกิจการให้ผู้อื่นมารับช่วงไปก็เป็นเรื่องที่แนะนำให้ทำหากเป้าหมายชีวิต เป้าหมายการทำงาน และเป้าหมายการเก็บเงินทำได้ครบแล้ว การขายบริษัทก็เป็นหนทางที่จะทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะจะได้ไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้เรื่องราวอย่างอื่นต่อไป
การแนะนำต่างๆที่มีให้ลูกค้าบัญชีเป็นเรื่องที่เกิดจากการรู้ตัวเลขที่แท้จริง รู้ที่มาที่ไป รู้ความสัมพันธ์ เข้าใจงบการเงิน เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขก็จะรู้ว่า ต้องทำงานหนักแค่ไหนเพื่อให้บริษัทอยู่รอด ต้องทำงานแค่ไหนถึงจะอยู่ในสถานะกำลังเติบโต เพราะแต่ละธุรกิจมีรายละเอียดต่างกัน ดังนั้น การพูดคุยซึ่งกันและกันระหว่างลูกค้าและสำนักงานบัญชีก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การขยายธุรกิจเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
การทำงานที่ยาวนาน อยู่มาจนเห็นวัฏจักรของธุรกิจครบรอบ ตั้งแต่ตั้งบริษัทจนถึงวันที่รุ่งเรือง ถดถอยและปิดตัวเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกเล่าสถิติเอาไว้ว่า บริษัทจำนวน 100 บริษัทจะปิดตัวลงประมาณ 97 % เมื่อผ่านไป 10 ปี ซึ่งในแวดวงบริษัทที่พี่วิทยารู้จักก็มีการปิดตัวลงเช่นกัน แม้สิบปีแรกจะไม่ได้ปิดไปถึง 97% แต่เมื่อผ่านไปถึง 20 ปี บริษัทที่เหลืออยู่กลับเหลืออยู่แค่ 3% ซึ่งเป็นไปตามสถิติ การปิดกิจการจำนวนมากนี้พบว่ามักมีสาเหตุที่คล้ายกัน
จุดอ่อนของเจ้าของธุรกิจที่ทางสำนักงานบัญชีได้พบมาตลอดคือ ทุกคนจะตั้งใจทำงานมาก ในช่วง 1-5 ปีแรก และทุกรายก็มีได้รายได้ที่ดี พอกิจการเริ่มดีก็เริ่มใช้เงินซื้อความสุขมากขึ้น ซื้อรถ ซื้อบ้าน สร้างหนี้สินที่ใหญ่ขึ้น ทั้งหนี้ส่วนตัวและหนี้การค้า พอประสบความสำเร็จในกิจการ ก็เกิดความรู้สึกว่าสบาย ทำให้ความจริงจังในการทำงานลดลง ลูกน้องที่โตมากับบริษัทก็จะเก่งขึ้นและสุดท้ายจะลาออกไปทำธุรกิจเอง ซึ่งธุรกิจที่ลูกน้องชำนาญก็คือธุรกิจแบบของเรา ลูกน้องเก่าจะเป็นคู่แข่งกับบริษัทโดยอัตโนมัติ และด้วยความสบาย ทำงานไม่เข้มข้นเหมือนช่วงแรก หลังปีที่ 10 จะเริ่มรายได้น้อยลง รวมกับมีคู่แข่ง รวมกับมีหนี้บ้าน หนี้สินทรัพย์ต้องผ่อนต้องจ่ายมากขึ้น ทำให้รายได้ธุรกิจไม่พอใช้ ในที่สุดจะแย่ลงและไปสู่การปิดกิจการในปีที่20 วงจรนี้เกิดขึ้นบ่อย คนที่มีรายได้ที่ดีจากธุรกิจควรเรียนรู้การลงทุน และควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่หนี้สิน สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ควรเก่งแค่การทำธุรกิจตัวเองเพียงอย่างเดียว ควรหาความรู้การออมการลงทุนอย่างจริงจัง ต้องมองหาการลงทุนในธุรกิจอื่นตลอดเวลา เพราะไม่มีอะไรยั่งยืน
แม้แต่ธุรกิจที่ปั้นมากับมือก็ไม่ยั่งยืน เจ้าของธุรกิจมือใหม่ทั้งหลายไม่ได้มีประสบการณ์ 20 ปีที่จะเห็นมาครบวัฎจักร ดังนั้น นักธุรกิจรุ่นใหม่ควรเรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่นและเตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวเองในเรื่องความรู้รอบตัว หาความรู้เรื่องการลงทุนควบคู่ไปกับการทำงานพัฒนาบริษัทตัวเอง อย่าหยุดเรียนรู้เป็นอันขาด
บริษัทรุ่นใหม่หลายบริษัทเป็นบริษัทขนาดเล็ก มักจะเป็นธุรกิจที่สดใส พอตั้งใจทำมันก็พัฒนาได้ มันมีศักยภาพที่จะขยาย ถ้ารู้จักการวิเคราะห์และตั้งเป้าหมาย รู้ตัวเลขที่แท้จริงของธุรกิจตัวเองอย่างถ่องแท้ แต่ปัญหาของธุรกิจมือใหม่ที่มักจะประสพก็คืองานขาย การรับลูกน้องมาเป็นฝ่ายขายหลายแห่งให้เวลาลูกน้องน้อยเกินไป รอเวลาพิสูจน์ยอดขายสามเดือน พอไม่เข้าเป้าก็ให้ออกไป แล้วก็รับคนใหม่ เริ่มต้นใหม่ บริษัทก็เลยไม่โตสักที กว่าจะพัฒนาฝ่ายขายต้องใช้เวลา เหมือนการปลูกต้นไม้ต้องมีเวลาของมัน งานขายของธุรกิจควรจะพัฒนาทีมขายสัก 2 ปี อย่าไล่คนออกแล้วเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา การไม่สร้างทีมขายจะทำให้เราไม่โต การหาเงินคนเดียวแบบเจ้านายเก่งคนเดียวบริษัทก็ไม่โต มีแต่ทีมขายเท่านั้นที่จะทำให้บริษัทโตได้เพราะมีหลายคนช่วยกันขาย ขั้นตอนการขายจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเติบโต ส่วนขั้นตอนการผลิต และการเก็บเงิน หากมีงานส่วนนี้มากจริงๆการหาคนมาช่วยทำงานก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าฝ่ายขาย เวลาที่พี่วิทยาได้คุยแลกเปลี่ยนทัศนะกับลูกค้าบัญชีก็จะพยายามเน้นให้โฟกัสไปที่การสร้างทีมขาย พัฒนาฝ่ายหารายได้เข้าบริษัทเป็นอันดับแรก
ขอขอบคุณ วิทยา ต่อเจริญ
สำนักงานบัญชีเนชั่น
ติดต่อ 08-2525-9265